ส่วนที่ 1 (50 ข้อ) ในส่วนของวิชาความสามารถในการวิเคราะห์สรุปเหตุผล
1. วิเคราะห์ปริมาณสดมภ์
5 ข้อ
2. วิเคราะห์ข้อมูลน่าเชื่อถือ
5 ข้อ
3. เงื่อนไขภาษาและการวิเคราะห์ข้อมูลจากตาราง
18 ข้อ
4. แผนภูมิตรรกวิทยา
2 ข้อ
5. ตรรกวิทยา 5
ข้อ
6. กฎหมาย
กทม. และกฎหมายระเบียบพื้นฐานในการปฏิบัติราชการ 10 ข้อ
7. คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเบื้องต้น
5 ข้อ
ส่วนที่ 2 เป็นวิชาภาษาไทย
50 ข้อ ออกเรื่อง
1. การเลือกใช้คำ
กลุ่มคำ
2. การเรียงลำดับข้อความ
3. error
4. การอ่านบทความยาว
5. การอ่านสรุปความตีความ
เรื่องที่ 6 กฎหมายเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ (สถิติออก 10 ข้อ)
M กรุงเทพมหานคร
l การจัดตั้ง
กรุงเทพมหานคร
มีวิวัฒนาการมาจากการรวมจังหวัดพระนคร
และจังหวัดธนบุรีเข้าด้วยกันเป็น "นครหลวงกรุงเทพธนบุรี" ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่
24 และ 25
ลงวันที่ 21 ธันวาคม 2514 รูปการปกครองนครหลวงธนบุรีแบ่งเป็น 2 ระดับ
ระดับภูมิภาคนั้นถือว่านครหลวงกรุงเทพธนบุรี เป็นจังหวัดหนึ่ง ระดับท้องถิ่นเป็นการรวมเอาเทศบาลนครกรุงเทพ และเทศบาลนครธนบุรีเป็นเทศบาลนครหลวง
ต่อมาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่
335 ลงวันที่ 13
ธันวาคม 2515 เปลี่ยนรูปนครหลวงกรุงเทพธนบุรีเป็นกรุงเทพมหานคร ซึ่งยังคงเป็นจังหวัด
แต่ในขณะเดียวกันก็มีสภากรุงเทพมหานครเป็นลักษณะของหน่วยการปกค
รองท้องถิ่น
ได้มีการปรับปรุงแก้ไขการปกครองในรูปกรุงเทพมหานครอีก 2 ครั้ง ตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2518 และ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
และกำหนดให้กรุงเทพมหานครเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่น แต่เพียงอย่างเดียว มิได้เป็นจังหวัดอีกต่อไป
l รูปแบบและการบริหาร
กรุงเทพมหานคร
ประกอบด้วยสภากรุงเทพมหานคร
และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
1) สภากรุงเทพมหานคร ประกอบด้วยสมาชิก ซึ่งได้รับเลือกตั้งจากราษฎรตามเกณฑ์ราษฎร 100,000
บาท ต่อสมาชิก 1 คน วาระ 4 ปี
สภากรุงเทพมหานครจะเลือกตั้งสมาชิกเป็นประธานสภา 1 คน และรองประธานสภาไม่เกิน 2 คน ดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี
2) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากราษฎร อยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี และมีรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครไม่เกิน 4 คน โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นผู้แต่งตั้ง
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย
และบริหารราชการกรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามกฎหมาย บริหารราชการตามที่คณะรัฐมนตี นายกรัฐมนตรี
หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย
วางระเบียบเพื่อให้งานของกรุงเทพมหานครเป็นไปโดยเรียบร้อย
รักษาการให้เป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร และอำนาจหน้าที่อื่น ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
กรุงเทพมหานคร
ได้มีการจัดระเบียบการบริหารราชการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยการแบ่งเป็น "สำนักงานเขต" (ปัจจุบันมี 50
สำนักงานเขต)
สำนักงานเขต
จะมีผู้อำนวยเขต และสภาเขต
สภาเขตประกอบด้วยสมาชิกซึ่งได้รับเลือกตั้งจากราษฎร เขตละอย่างน้อย 7 คน สำหรับเขตที่มีราษฎรเกิน 100,000
คน
ให้มีสมาชิกสภาเขตเพิ่มขึ้นโดยถือเกณฑ์ราษฎร
100,000 คนต่อสมาชิกหนึ่งคน สมาชิกอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
สภาเขตทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการเขต มิใช่ทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติ
l อำนาจหน้าที่
กรุงเทพมหานครมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ คือ
การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การทะเบียน การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง การผังเมือง
การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก
ทางน้ำ และทางระบายน้ำ การวิศวกรรม
จราจร การขนส่ง การจัดให้มี
และควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้าม
และที่จอดรถ การดูแลรักษา ที่สาธารณะ
การควบคุมอาคาร
การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัด และจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
การจัดให้มีและบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ การป้องกันและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสาธารณูปโภค การสาธารณสุข
การจัดการศึกษา
การส่งเสริมการศึกษา
การส่งเสริมการประกอบอาชีพ
การพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร
และหน้าที่อื่น ๆ ตามที่กฎหมายระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ
เทศบาลนครหรือตามที่คณะรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี
หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย
หรือมีกฎหมายระบุเป็นหน้าที่ ของกรุงเทพมหานคร
l ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
กรุงเทพมหานครอาจตราข้อบัญญัติขึ้นในกรณีดังนี้
1) เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร
2) มีกฎหมายบัญญัติให้กรุงเทพมหานคร มีอำนาจตราเป็นข้อบัญญัติ กรุงเทพมหานคร
3) การดำเนินการพาณิชย์ของกรุงเทพมหานคร
4) การคลัง การงบประมาณ
การเงิน การทรัพย์สิน การจัดหาผลประโยชน์จาก ทรัพย์สิน
การจ้าง และการพัสดุ
จะกำหนดโทษผู้ละเมิดข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครไว้ด้วยก็ได้เป็นโท
ษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
และหรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
l การควบคุมส่งเสริม
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแล การปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร
รวมทั้งมีอำนาจในการสั่งยุบสภากรุงเทพมหานครโดยอนุมัติของคณะรั ฐมนตรี หรือโดยข้อเสนอของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสั่งให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พ้นจากตำแหน่ง
ตามมติคณะรัฐมนตรี
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ควบคุมส่งเสริมการบริหารงานบุคคลของกรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.)
3. กระทรวง ทบวง
กรม
อาจส่งข้าราชการมาประจำกรุงเทพมหานคร
เพื่อปฏิบัติราชการในหน้าที่ของกระทรวง
ทบวง กรมนั้น โดยทำความตกลงกับกรุงเทพมหานคร หรืออาจจะมอบอำนาจให้กรุงเทพมหานครปฏิบัติก็ได้
4. รัฐบาลจัดสรรเงินอุดหนุนให้กรุงเทพมหานครโดยตรง
5. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจสอบการเงิน และการบัญชีของกรุงเทพมหานคร
ต่อเรื่องที่ 6
หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ในการปฏิรูประบบราชการ ได้มีการตรา
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมือง ที่ดี พ.ศ. 2546 ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2546 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่
10 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป โดยพระราชกฤษฎีกานี้เป็นการออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของกฎห
มาย ดังนี้
1. มาตรา 221
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. มาตรา 3/1
และมาตรา 71/10 (5) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545
M ขอบเขตและความหมาย
“ส่วนราชการ” หมายความว่า
ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง
กรม
และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในกำกับของราชการฝ่ายบริหาร แต่ไม่รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
“รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา
“ข้าราชการ” หมายความรวมถึงพนักงาน ลูกจ้าง
หรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ
หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ได้แก่
การบริหารราชการเพื่อบรรลุเป้าหมาย
7 ประการ ดังต่อไปนี้
1. เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
2. เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
3. มีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในชิงภารกิจของรัฐ
4. ไม่มีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกินความจำเป็น
5. มีการปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการให้ทันต่อสถานการณ์
6. ประชาชนได้รับการอำนวยความสะดวกและได้รับการตอบสนองความต้องการ
7. มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการอย่างสม่ำเสมอ
M การบริหารราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
การบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน หมายถึง
การปฏิบัติราชการที่มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดความผาสุกและความเป็
นอยู่ที่ดีของประชาชน ความสงบและปลอดภัยของสังคมส่วนรวม ตลอดจนประโยชน์สูงสุดของประเทศ
ในการบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ส่วนราชการจะต้องดำเนินการโดยถือว่าประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ที่จะได้รับการบริการจากรัฐ
และจะต้องมีแนวทางการบริหารราชการดังต่อไปนี้
1. การกำหนดภารกิจของรัฐและส่วนราชการ
ต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ตามหลักของการบริหารราชการเพื่อประ
โยชน์สุขของประชาชนและสอดคล้องกับแนวนโยบายแห่งรัฐ และนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา
2. การปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการต้องเป็นไปโดย ซื่อสัตย์สุจริต สามารถตรวจสอบได้ และมุ่งให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนทั้งในระดับประเทศและท้องถ
ิ่น
3. ก่อนเริ่มดำเนินการ
ส่วนราชการต้องจัดให้มีการศึกษาวิเคราะห์ผลดีและผลเสียให้ครบถ้
วนทุกด้าน
กำหนดขั้นตอนการดำเนินการที่โปร่งใส
มีกลไกตรวจสอบการดำเนินการในแต่ละขั้นตอน
ในกรณีที่ภารกิจใดจะมีผลกระทบต่อประชาชน
ส่วนราชการต้องดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือชี้แจง
ทำความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงประโยชน์ที่ส่วนรวมจะ
ได้รับจากภารกิจนั้น
4. ให้เป็นหน้าที่ของข้าราชการที่จะต้องคอยรับฟังความคิดเห็นและคว
ามพึงพอใจ ของสังคมโดยรวมและประชาชนผู้รับบริการเพื่อปรับปรุงหรือเสนอแนะ
ต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อให้มีการปรับปรุงวิธีปฏิบัติราชการให้เห มาะสม
5. ในกรณีที่เกิดปัญหาและอุปสรรคจากากรำเนินการ
ให้ส่วนราชการดำเนินการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคนั้นโดยเร็ว ในกรรีที่ปัญหาหรืออุปสรรคนั้นเกิดขึ้นจากส่วนราชการอื่น
หรือระเบียบข้อบังคับที่ออกโดยส่วนราชการอื่น
ให้ส่วนราชการแจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อดำเนินการแก้ไขปรับปรุงโดยเร็วต่อไป และให้แจ้ง
ก.พ.ร. ทราบด้วย
การดำเนินการข้างทั้ง 5 ข้อ ให้ส่วนราชการกำหนดวิธีปฏิบัติให้เหมาะสมกับภารกิจแต่ละเรื่อง ทั้งนี้
ก.พ.ร. จะกำหนดแนวทางการดำเนินการทั่วไปให้ส่วนราชการปฏิบัติให้เป็นไป
ตามนี้ด้วยก็ได้
M การบริหารราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
1. การบริหารราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ ให้ส่วนราชการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
(1) ก่อนจะดำเนินการตามภารกิจใด
ส่วนราชการต้องจัดทำแผนปฏิบัติราชการไว้เป็นการล่วงหน้า
(2) การกำหนด แผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ ตามข้อ 1 ต้องมีรายละเอียดของขั้นตอน
ระยะเวลาและงบประมาณที่จะต้องใช้ในการำเนินการของแต่ละขั้นตอน เป้าหมายของภารกิจ ผลสัมฤทธิ์ของภารกิจ และตัวชี้วัดความสำเร็จของภารกิจ
(3) ส่วนราชการต้องจัดให้มี
การติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติราชการ
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ส่วนราชการกำหนดขึ้น ซึ่งต้องสอดคล้องกับมาตรฐานที่ ก.พ.ร. กำหนด
(4) ในกรณีที่การปฏิบัติภารกิจ
หรือการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติราชการเกิดผลกระทบต่อประชาชนให้เป็
นหน้าที่ของส่วนราชการที่จะต้องดำเนินการแก้ไขหรือบรรเทาผลกระท บนั้น หรือเปลี่ยนแผนปฏิบัติราชการให้เหมาะสม
2. ในกรณีที่ภารกิจใดมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการ หรือเป็นภารกิจที่ใกล้เคียงหรือต่อเนื่องกันให้ส่วนราชการที่เก
ี่ยวข้องนั้นกำหนดแนวทางการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิดการบริหาร
ราชการแบบบูรณาการร่วมกัน
โดยมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
ให้ส่วนราชการมีหน้าที่สนับสนุนการปฏิบัติราชการของผู้ว่าราชกา
รจังหวัดหรือหัวหน้าคณะผู้แทนในต่างประเทศ
เพื่อให้การบริหารราชการแบบบูรณาการในจังหวัดหรือในต่างประเทศ แล้วแต่กรณี
สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายได้ครบถ้วนตามความจำเป็นและบริหารราชกา
รได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ส่วนราชการมีหน้าที่ พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ
โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่าง ๆ
เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมทั้ง
ต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ
สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการ
ในสังกัดให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมีการเรียนรู้ร่วมกั น ทั้งนี้
เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการของส่วนราชการให้สอดคล้องกับกา
รบริหารราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามพระราชกฤษฎีกานี้
4. เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ก.พ.ร. อาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดมาตรการกำกับการปฏิบัติราชการ
โดยวิธีการจัดทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร
หรือโดยวิธีการอื่นใดเพื่อแสดงความรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ
5. ให้คณะรัฐมนตรี จัดให้มีแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดระยะเวลาการบริหารราชการของคณะรัฐมนตรี
เมื่อคณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ร่วมกันจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน 90
วัน
นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
เมื่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในแผนการบริหารราชการแผ่นดินแล้
วให้มีผลผูกพัน คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี
และส่วนราชการ
ที่จะต้องดำเนินการจัดทำภารกิจให้เป็นไปตามแผนการบริหารราชการแ ผ่นดิน นั้น
การจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ให้จัดทำเป็นแผน 4 ปี
โดยนำนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐภามาพิจารณาดำเนินการให้สอดค
ล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งร าชอาณาจักรไทย และแผนพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้
อย่างน้อยจะต้งอมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายและผลสัมฤ
ทธิ์ของงาน
ส่วนราชการหรือบุคคลที่จะรับผิดชอบในแต่ละภารกิจ ประมาณการรายได้และรายจ่ายและทรัพยากรต่าง ๆ
ที่จะต้องใช้ ระยะเวลาการดำเนินการ และการติดตามประเมินผล
6. เมื่อมีการประกาศใช้บังคับแผนการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกันพิจารณาจัดทำแผนนิติบัญญั ติ โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายที่จะต้องจัดให้มีขึ้นใหม่หรือก
ฎหมายที่ต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกให้สอดคล้องกับแผนกา
รบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนราชการผู้รับผิดชอบ และระยะเวลาที่ต้องดำเนินการ
แผนนิติบัญญัตินั้นเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกร
รมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแล้ว
ให้มีผลผูกพันส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไ ปตามนั้น
ในกรณีที่เห็นสมควร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดหลัก
เกณฑ์การจัดทำแผนนิติบัญญัติเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบั ติงานก็ได้
7. ให้ส่วนราชการจัดทำ แผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการ โดยจัดทำเป็นแผน 4 ปี
ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดินตามข้อ 5
ในแต่ละปีงบประมาณ ให้ส่วนราชการจัดทำ แผนปฏิบัติราชการประจำปี
โดยให้ระบุสาระสำคัญรายได้และรายจ่ายและทรัพยากรอื่นที่จะต้องใ ช้ เสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ
เมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการใดแล
้ว ให้สำนักงบประมาณดำเนินการ
จัดสรรงบประมาณเพื่อปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จในแต่ละภารกิจตา
มแผนปฏิบัติราชการดังกล่าว
ในกรณีที่ส่วนราชการมิได้เสนอแผนปฏิบัติราชการในภารกิจใด
หรือภารกิจใดไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี
มิให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสำหรับภารกิจนั้น
เมื่อสิ้นปีงบประมาณให้ส่วนราชการจัดทำ
รายงานแสดงผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการประจำปี เสนอต่อคณะรัฐมนตรี
8. กรณีที่กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกำหนดให้ส่วนราชการต้องจัด
ทำแผนปฏิบัติราชการเพื่อขอรับงบประมาณ
ให้สำนักงบประมาณและ ก.พ.ร. ร่วมกันกำหนดแนวทางการจัดทำแผนปฏิบัติราชการตามข้อ 7 ให้สามารถใช้ได้กับแผนปฏิบัติราชการที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้
วยวิธีการงบประมาณ ทั้งนี้
เพื่อมิให้เพิ่มภาระงานในการจัดทำแผนจนเกินสมควร
เมื่อมีการกำหนดงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแผนปฏิบัติราชการของส
่วนราชการใดแล้ว การโอนงบประมาณจากภารกิจหนึ่งตามที่กำหนดในแผนปฏิบัติราชการไปด
ำเนินการอย่างอื่น
ซึ่งมีผลทำให้ภารกิจเดิมไม่บรรลุเป้าหมายหรือนำไปใช้ในภารกิจให
ม่ที่มิได้กำหนดในแผนปฏิบัติราชการ
จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ปรับแผนปฏิบั
ติราชการให้สอดคล้องกันแล้ว
การปรับแผนปฏิบัติราชการตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่ง
านหรือภารกิจใดไม่อาจำเนินการตามวัตถุประสงค์ต่อไปได้ หรือหมดความจำเป็นหรือไม่เป็นประโยชน์ หรือหากดำเนินการต่อไปจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น
หรือมีความจำเป็นอย่างอื่นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของแผนปฏิบัติราชการ
เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ปรับแผนปฏิบัติราชการแล้ว
ให้ดำเนินการแก้ไขแผนการบริหารราชการแผ่นดินให้สอดคล้องกันด้วย
9. เมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ให้หัวหน้าส่วนราชการมีหน้าที่ สรุปผลการปฏิบัติราชการและให้ข้อมูล ต่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตามที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่สั่งการ ทั้งนี้
เพื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะได้ใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณากำหนดนโ
ยบายการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
M การบริหารราชการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความคุ้มค่าในเชิงภาร
กิจของรัฐ
1. เพื่อให้การปฏิบัติราชการภายในส่วนราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิ
ภาพ ให้ส่วนราชการกำหนดเป้าหมาย แผนการทำงาน
ระยะเวลาแล้วเสร็จของงานหรือโครงการ
และงบประมาณที่จะต้องใช้ในแต่ละงานหรือโครงการ
และต้องเผยแพร่ให้ข้าราชการและประชาชนทราบทั่วกันด้วย
2. ให้ส่วนราชการจัดทำบัญชีต้นทุน ในงานบริการสาธารณะแต่ละประเภทขึ้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กรมบัญชีกลางกำหนด
3. ให้ส่วนราชการคำนวณรายจ่ายต่อหน่วย
ของงานบริการสาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการนั้นตา
มระยะเวลาที่กรมบัญชีกลางกำหนดและรายงานให้สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลางและ ก.พ.ร. ทราบ
4. ในกรณีที่รายจ่ายต่อหน่วยของงานบริการสาธารณะใดของส่วนราชการใด
สูงกว่ารายจ่ายต่อหน่วยของงานบริการสาธารณะประเภทและคุณภาพเดีย
วกันหรือคล้ายคลึงกันของส่วนราชการอื่น
ให้ส่วนราชการนั้นจัดทำ
แผนการลดรายจ่ายต่อหน่วย ของงานบริการสาธารณะดังกล่าวเสนอสำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง
และ ก.พ.ร. ทราบ
และถ้ามิได้มีข้อทักท้วงประการใดภายในสิบห้าวัน
ก็ให้ส่วนราชการดังกล่าวถือปฏิบัติตามแผนการลดรายจ่ายนั้นต่อไป ได้
5. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณร่วมกันจัดให้มี
การประเมินความคุ้มค่าในการปฏิบัติภารกิจของรัฐที่ส่วนราชการำเ
นินการอยู่
เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีสำหรับเป็นแนวทางในการพิจารณาว่าภารกิจใ
ดสมควรจะได้ดำเนินการต่อไปหรือยุบเลิก
และเพื่อประโยชน์ในการจัดตั้งงบประมาณของส่วนราชการในปีต่อไป ทั้งนี้
ตามระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
ในการประเมินความคุ้มค่าข้างต้น ให้คำนึงถึงประเภทและสภาพของแต่ละภารกิจ
ความเป็นไปได้ของภารกิจหรือโครงการที่ดำเนินการ ประโยชน์ที่รัฐและประชาชนจะพึงได้
และรายจ่ายที่ต้องเสียไปก่อนและหลังที่ส่วนราชการดำเนินการด้วย
ความคุ้มค่านี้ ให้หมายความถึง ประโยชน์หรือผลเสียทางสังคม และประโยชน์หรือผลเสียอื่น ซึ่งไม่อาจคำนวณเป็นตัวเงินได้ด้วย
6. ในการจัดซื้อหรือจัดจ้าง
ให้ส่วนราชการดำเนินการโดยเปิดเผยและเที่ยงธรรมโดยพิจารณาถึงปร
ะโยชน์และผลเสียทางสังคม ภาระต่อประชาชน คุณภาพ
วัตถุประสงค์ที่จะใช้
ราคาและประโยชน์ระยะยาวของส่วนราชการที่จะได้รับประกอบกัน
ในกรณีที่วัตถุประสงค์ในการใช้เป็นเหตุให้ต้องคำนึงถึงคุณภาพแล
ะการดูแลรักษาเป็นสำคัญให้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องถือราคาต่ำส
ุดในการซื้อหรือจ้างเสมอไป
7. ในการปฏิบัติภารกิจใด หากส่วนราชการจำเป็นต้องได้รับอนุญาต อนุมัติ
หรือความเห็นชอบจากส่วนราชการอื่นตามที่มีกฎหมาย กฎ
ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ
หรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนด
ให้ส่วนราชการที่มีอำนาจอนุญาต
อนุมัติ
หรือให้ความเห็นชอบดังกล่าวแจ้งผลการพิจารณา ให้ส่วนราชการที่ยื่นคำขอทราบภายใน 15
วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอ
8. ในกรณีที่เรื่องใดมีกฎหมาย กฎ
ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ
หรือมติคณะรัฐมนตรีกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติไว้
และขั้นตอนการปฏิบัตินั้นต้องใช้ระยะเวลาเกินสิบห้าวัน ให้ส่วนราชการที่มีอำนาจอนุญาต อนุมัติ
หรือให้ความเห็นชอบ
ประกาศกำหนดระยะเวลาการพิจารณาไว้ให้ส่วนราชการอื่นทราบ
ส่วนราชการใดที่มีอำนาจอนุญาต อนุมัติ
หรือให้ความเห็นชอบ
มิได้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเงื่อนไขข้างต้น หากเกิดความเสียหายใดขึ้น
ให้ถือว่าข้าราชการซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้อง และหัวหน้าส่วนราชการนั้นประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าความล่าช้านั้น มิได้เกิดขึ้นจากความผิดของตน
9. ในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาใด
ๆ ให้เป็นหน้าที่ของส่วนราชการที่รับผิดชอบในปัญหานั้นๆ
จะต้องพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดโดยเร็ว
การตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณาวินิจฉัย
ให้ดำเนินการได้เท่าที่จำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ในการพิจารณาเรื่องใด ๆ
โดยคณะกรรมการ
เมื่อคณะกรรมการมีมติเป็นประการใดแล้ว
ให้มติของคณะกรรมการผูกพันส่วนราชการ
ซึ่งมีผู้แทนร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย
แม้ว่าในการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องนั้น
ผู้แทนของส่วนราชการที่เป็นกรรมการจะมิได้เข้าร่วมพิจารณาวินิจ
ฉัยก็ตาม
ถ้ามีความเห็นแตกต่างกันสองฝ่ายให้บันทึกความเห็นของกรรมการฝ่า
ยข้างน้อยไว้ให้ปรากฏในเรื่องนั้นด้วย
ความผูกพันที่กำหนดไว้นั้น มิให้ใช้บังคับกับการวินิจฉัยในปัญหาด้านกฎหมาย
10. การสั่งราชการโดยปกติให้กระทำเป็นลายลักษณ์อักษร
เว้นแต่ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชามีความจำเป็นที่ไม่อาจสั่งเป็นล
ายลักษณ์อักษรในขณะนั้น
จะสั่งราชการด้วยวาจาก็ได้
แต่ให้ผู้รับคำสั่งนั้นบันทึกคำสั่งด้วยวาจาไว้เป็นลายลักษณ์อั กษร และเมื่อได้ปฏิบัติราชการตามคำสั่งดังกล่าวแล้วให้บันทึกรายงาน
ให้ผู้สั่งราชการทราบในบันทึกให้อ้างอิงคำสั่งด้วยวาจาไว้ด้วย
M การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน
1. ให้ส่วนราชการจัดให้มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจเกี่ยวกับการสั
่ง การอนุญาต การอนุมัติ
การปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินการอื่นใดของผู้ดำรงตำแหน่งใดให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่
งที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการในเรื่องนั้นโดยตรง
เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและลดขั้นตอนการปฏิบัติราชการ ทั้งนี้
ในการกระจายอำนาจการตัดสินใจดังกล่าวต้องมุ่งผลให้เกิดความสะดว
กและรวดเร็วในการบริการประชาชน
2. เมื่อได้มีการกระจายอำนาจการตัดสินใจแล้ว ให้ส่วนราชการกำหนด หลักเกณฑ์การควบคุม
ติดตามและกำกับดูแลการใช้อำนาจและความรับผิดชอบของผู้รับมอบอำน
าจและผู้มอบอำนาจไว้ด้วย
ซึ่งหลักเกณฑ์นั้นต้องไม่สร้างขั้นตอนหรือการกลั่นกรองงานที่ไม
่จำเป็นในการปฏิบัติงานของข้าราชการ
ในการนี้
หากสามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือโทรคมนาคม แล้วจะเป็นการลดขั้นตอน เพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่าย
รวมทั้งไม่เกิดผลเสียหายแก่ราชการให้ส่วนราชการดำเนินการให้ข้า
ราชการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
หรือโทรคมนาคมตามความเหมาะสมและกำลังเงินงบประมาณ
เมื่อส่วนราชการใดได้มีการกระจายอำนาจการตัดสนใจ
หรือได้มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือโทรคมนาคมแล้ว
ให้ส่วนราชการนั้นเผยแพร่ให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไป
3. เพื่อประโยชน์ในการกระจายอำนาจการตัดสินใจ ก.พ.ร. ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะกำหนด
หลักเกณฑ์และวิธีการหรือแนวทางในการกระจายอำนาจการตัดสินใจ
ความรับผิดชอบระหว่างผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ และการลดขั้นตอนในการปฏิบัติราชการ ให้ส่วนราชการถือปฏิบัติก็ได้
4. ในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนหรือการติดต่อ
ประสานงานระหว่างส่วนราชการด้วยกัน
ให้ส่วนราชการแต่ละแห่งจัดทำ
แผนภูมิขั้นตอนและระยะเวลาการดำเนินการ
รวมทั้งรายละเอียดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอนเปิดเผยไว้ ณ
ที่ทำการของส่วนราชการและในระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชการ เพื่อให้ประชาชนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจดูได้
5. ในกระทรวงหนึ่ง
ให้เป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงที่จะต้องจัดให้ส่วนราชการภายในกร
ะทรวงที่รับผิดชอบปฏิบัติงานเกี่ยวกับการบริการประชาชนร่วมกันจ
ัดตั้งศูนย์บริการร่วม เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายห
รือกฎอื่นใด ทั้งนี้
เพื่อให้ประชาชนสามารถติดต่อสอบถามขอทราบข้อมูล ข้ออนุญาต
หรือขออนุมัติในเรื่องใดๆ
ที่เป็นอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการในกระทรวงเดียวกันโดยตดต่อเจ้ าหน้าที่ ณ
ศูนย์บริการร่วมเพียงแห่งเดียว
ในศูนย์บริการร่วมให้จัดให้มีเจ้าหน้าที่รับเรื่องราวต่างๆ
และดำเนินการส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการต่อไป
โดยให้มีข้อมูลและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของทุกส่ว
นราชการในกระทรวง รวมทั้งแบบคำขอต่าง ๆ
ไว้ให้พร้อมที่จะบริการประชาชนได้ ณ
ศูนย์บริการร่วม
และให้เป็นหน้าที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่จะต้องจัดพิมพ์ราย
ละเอียดของเอกสารหลักฐานที่ประชาชนจะต้องจัดหามาในการขออนุมัติ
หรือขออนุญาตในแต่ละเรื่องมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ของศูนย์บริการร ่วม
และให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศูนย์บริการร่วมที่จะต้องแจ้งใ
ห้ประชาชนที่มาติดต่อได้ทราบในครั้งแรกที่มาติดต่อ
และตรวจสอบว่าเอกสารหลักฐานที่จำเป็นดังกล่าวนั้นประชาชนได้ยื่
นมาครบถ้วนหรือไม่
พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบถึงระยะเวลาที่จะต้องใช้ดำเนินการในเรื่อง นั้น
ในกรณีที่ส่วนราชการที่ได้รับการเสนอแนะไม่เห็นชอบด้วยกับคำเนอ
แนะของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ให้เสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาวินิจฉัย
M การอำนวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของประชาชน
1. ในการปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชน
หรือติดต่อประสานงานระหว่างส่วนราชการด้วยกัน
ให้ส่วนราชการกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานแต่ละงาน
และประกาศให้ประชาชนและข้าราชการทราบเป็นการทั่วไป
ส่วนราชการใดมิได้กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานใด และ ก.พ.ร. พิจารณาเห็นว่างานนั้นมีลักษณะที่สามารถกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จ
ได้
หรือส่วนราชการได้กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จไว้ แต่ ก.พ.ร. เห็นว่าเป็นระยะเวลาที่ล่าช้าเกินสมควร ก.พ.ร. จะกำหนดเวลาแล้วเสร็จให้ส่วนราชการนั้นต้องปฏิบัติก็ได้
ให้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องตรวจสอบให้ข้าราชการป
ฏิบัติงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาข้างต้น
2. เมื่อส่วนราชการใดได้รับการติดต่อสอบถามเป็นหนังสือ จากประชาชน
หรือจากส่วนราชการด้วยกันเกี่ยวกับงานที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ
ส่วนราชการนั้น
ให้เป็นหน้าที่ของส่วนราชการนั้นที่จะต้องตอบคำถาม หรือแจ้งการดำเนินการให้ทราบภายใน 15
วัน
หรือภายในกำหนดเวลาที่กำหนดไว้ตามข้อ
1
3. ให้ส่วนราชการจัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชการ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่จะสามารถติดต่อสอบถาม หรือขอข้อมูล
หรือแสดงความคดเห็นเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ
4. เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่ประชาชนในการติดต่อกับส่ว
นราชการทุกแห่งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารจัดให้มีระบบเครือข่ายสารนเทศกลางขึ้น
และการจัดทำระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชการจะต้องจัดทำในระ
บบเดียวกันนี้
ในกรณีที่ส่วนราชการใดไม่อาจจัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศของส
่วนราชการได้ อาจร้องขอให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารดำเนินการจัดทำระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชกา
รดังกล่าวก็ได้
ในการนี้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ
และการสื่อสารจะขอให้ส่วนราชการให้ความช่วยเหลือด้านบุคลากร ค่าใช้จ่าย
และข้อมูลในการดำเนินการก็ได้
5. ในกรณีที่ส่วนราชการได้รับคำร้องเรียน
เสนอแนะ หรือความคิดเห็น เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติราชการอุปสรรค ความยุ่งยาก หรือปัญหาอื่นใดจากบุคคลใด
โดยมีข้อมูลและสาระตามสมควรให้เป็นหน้าที่ของส่วนราชการนั้นที่ จะต้องพิจารณาดำเนินการให้ลุล่วงไป
และในกรณีที่มีที่อยู่ของบุคคลนั้น ให้แจ้งให้บุคคลนั้นทราบผลการดำเนินการด้วย
ทั้งนี้อาจแจ้งให้ทราบผ่านทางระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชก ารด้วยก็ได้
ในกรณีการแจ้งผ่านทางระบบเครือข่ายสารสนเทศ
มิให้เปิดเผยชื่อหรือที่อยู่ของผู้ร้องเรียน เสนอแนะหรือแสดงความคดเห็น
6. เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความส
ะดวกรวดเร็ว
ให้ส่วนราชการที่มีอำนาจออกกฎ
ระเบียบ ข้อบังคับ หรือประกาศ เพื่อใช้บังคับกับส่วนราชการอื่น มีหน้าที่ตรวจสอบว่ากฎ ระเบียบ
ข้อบังคับ หรือประกาศนั้น เป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความยุ่งยาก ซ้ำซ้อน
หรือความล่าช้า
ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการอื่นหรือไม่
เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมโดยเร็วต่อไป
ในกรณีที่ได้รับการร้องเรียนหรือเสนอแนะจากข้าราชการหรือส่วนรา
ชการอื่นในเรื่องใด
ให้ส่วนราชการที่ออกฎ
ระเบียบข้อบังคับ
หรือประกาศนั้นพิจารณาโดยทันที และในกรณีที่เห็นว่าการร้องเรียนหรือเสนอแนะนั้นเกิดจากความเข้
าใจผิดหรือความไม่เข้าใจในกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
หรือประกาศ
ให้ชี้แจงให้ผู้ร้องเรียนหรือเสนอแนะทราบภายใน 15
วัน
การร้องเรียนหรือเสนอแนะนี้จะแจ้งผ่าน
ก.พ.ร. ก็ได้ และในกรณีที่ ก.พ.ร. เห็นว่า กฎ
ระเบียบ ข้อบังคับ
หรือประกาศใดมีลักษณะข้างต้น ให้ ก.พ.ร. แจ้งให้ส่วนราชการที่ออกกฎระเบียบ ข้อบังคับ
หรือประกาศนั้นทราบ
เพื่อดำเนินการปรับปรุงแก้ไข
หรือยกเลิก ต่อไปโดยเร็ว
7. การปฏิบัติราชการในเรื่องใด
ๆ โดยปกติให้ถือว่าเป็นเรื่องเปิดเผย
เว้นแต่กรณีมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของประเทศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล จึงให้กำหนดเป็นความลับได้เท่าที่จำเป็น
ส่วนราชการต้องจัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่
ายแต่ละปี
รายการเกี่ยวกับการจัดซื้อหรือจัดจ้างที่จะดำเนินการในปีงบประม าณนั้น และสัญญาใด ๆ
ที่ได้มีการอนุมัติให้จัดซื้อหรือจัดจ้างแล้วให้ประชาชนสามารถข อดูหรือตรวจสอบได้ ณ
สถานที่ทำการของส่วนราชการ
และระบบครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชการ
ทั้งนี้
การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต้องไม่ก่อให้เกิดความได้เปรียบหรือเส
ียเปรียบหรือความเสียหายแก่บุคคลใดในการจัดซื้อหรือจัดจ้าง
ในการจัดทำสัญญาจัดซื้อหรือจัดจ้าง ห้ามมิให้มีข้อความหรือข้อตกลง ห้ามมิให้เปิดเผยข้อความ หรือข้อตกลงในสัญญาดังกล่าว เว้นแต่ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมาย กฎ
ระเบียบ
หรือข้อบังคับที่เกี่ยวกับการคุ้มครองความลับทางราชการ หรือในส่วนที่เป็นความลับทางการค้า
O การประเมินผลการปฏิบัติราชการ
1. นอกจากการจัดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติราชการขอ
งส่วนราชการแล้ว
ให้ส่วนราชการจัดให้มี คณะผู้ประเมินอิสระ ดำเนินการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการเกี่ยวกับผลสั
มฤทธิ์ของภารกิจ คุณภาพการให้บริการ ความพึงพอใจของประชาชนผู้รับบริการ ความคุ้มค่าในภารกิจ ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาที่ ก.พ.ร. กำหนด
2. ส่วนราชการอาจจัดให้มี การประเมินภาพรวมของผู้บังคับบัญชา แต่ละระดับ
หรือ การประเมินภาพรวมของหน่วยงานในส่วนราชการ ก็ได้
ทั้งนี้
การประเมินดังกล่าวต้องกระทำเป็นความลับ
และเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความสามัคคีของข้าราชการ
3. ใน การประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการ เพื่อประโยชน์ในการบริหารงานบุคคล
ให้ส่วนราชการประเมินโดยคำนึงถึงผลการปฏิบัติงานเฉพาะตัวของข้า
ราชการผู้นั้นในตำแหน่งที่ปฏิบัติ
ประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่หน่วยงานที่ข้าราชการผู้นั้นสังกัดได้
รับจากการปฏิบัติงานของข้าราชการผู้นั้น
4. กรณีที่ส่วนราชการใดดำเนินการให้บริการที่มีคุณภาพ และเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด รวมทั้งเป็นที่พึงพอใจแก่ประชาชน หรือเมื่อส่วนราชการใดได้ดำเนินงานไปตามเป้าหมาย สามารถเพิ่มผลงาน และผลสัมฤทธิ์
โดยไม่เป็นการเพิ่มค่าใช้จ่าย
และคุ้มค่าต่อภารกิจของรัฐ
หรือสามารถดำเนินการตามแผนการตลาด
ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยได้ตามหลักเกณฑ์ที่
ก.พ.ร. กำหนด
ให้ ก.พ.ร. เสนอคณะรัฐมนตรีจัดสรร
เงินเพิ่มพิเศษเป็นบำเหน็จความชอบแก่ส่วนราชการ หรือให้ส่วนราชการ
ใช้เงินงบประมาณเหลือจ่ายของส่วนราชการนั้น เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงการปฏิบัติงานของส่วนราชการหรือจัดสร
รเป็นรางวัลให้ข้าราชการในสังกัด
ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่
ก.พ.ร. กำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
O การขยายผลการดำเนินการ
1. ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำหลักเกณฑ์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีตามแนวทางของพระรา
ชกฤษฎีกานี้
โดยอย่างน้อยต้องมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการลดขั้นตอนการปฏิบัติงา น และการดำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชนที่สอดคล้องกับที่กำหนดไว้ใ
นพระราชกฤษฎีกานี้
และให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยดูแล
และให้ความช่วยเหลือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการดังกล่าว
2. ให้องค์การมหาชนและรัฐวิสาหกิจ
จัดให้มีหลักเกณฑ์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีตามแนวทางของพร
ะราชกฤษฎีกานี้
ในกรณีที่ ก.พ.ร. เป็นว่าองค์การมหาชนหรือรัฐวิสาหกิจใด ไม่จัดให้มีหลักเกณฑ์ดังกล่าว หรือมีแต่ไม่สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกานี้
ให้แจ้งรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลองค์การมหาชน หรือรัฐวิสาหกิจ
เพื่อพิจารณาสั่งการให้องค์การมหาชนหรือรัฐวิสาหกิจนั้นดำเนินก
ารให้ถูกต้องต่อไป
ต่อเรื่องที่ 6
การรักษาราชการแทน และการปฏิบัติราชการแทน
M ความหมาย
ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
ได้กำหนดวิธีการบริหารราชการที่สำคัญไว้อยู่ 2 ประการ คือ
การรักษาราชการแทน
และการปฏิบัติราชการแทน
ซึ่งทั้งสองกรณีนี้มีความแตกต่างกันในวัตถุประสงค์และวิธีการใช ้ ดังนี้
การรักษาราชการแทน หมายถึง
การให้ข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งหนึ่ง
มีอำนาจหน้าที่และรับผิดชอบในตำแหน่งอื่นอีกเป็นการชั่วคราว ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนั้น หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ราชการได้
การปฏิบัติราชการแทน หมายถึง
การมอบอำนาจ ในการสั่งการ อนุญาต
อนุมัติ หรือการปฏิบัติราชการของผู้ที่มีอำนาจดังกล่าวพึงจะปฏิบัติ หรือดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ หรือคำสั่งใด หรือมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ให้แก่ผู้อื่นเป็นผู้ปฏิบัติงานดังกล่าวแทนตน โดยต้องทำเป็นหนังสือ (ลายลักษณ์อักษร) แต่ทั้งนี้จะต้องไม่มีการกำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้เป็นอย่างอื
่นด้วย
สำหรับคำว่า
การรักษาการในตำแหน่ง
ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน
จะมีความหมายเช่นเดียวกับการรักษาราชการแทน
แต่ใช้เฉพาะตำแหน่งที่กฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ก ำหนดให้ใช้วิธีการรักษาราชการแทนไว้
(ดูหัวข้อพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535)
M หลักเกณฑ์ในการรักษาราชการแทน
1. การรักษาราชการแทน จะมีได้ต่อเมื่อไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนั้น ๆ (ตำแหน่งว่าง) หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
2. ผู้รักษาราชการแทนมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน
3. การรักษาราชการแทน
เป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 41-49 และมาตรา 56 และ 64 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ดังต่อไปนี้
4. หลักเกณฑ์นี้มิใช้บังคับกับราชการในกระทรวงที่เกี่ยวกับทหาร
ตำแหน่ง
|
ผู้รักษาราชการแทนและวิธีการ
|
นายกรัฐมนตรี
มาตรา 41
|
เฉพาะกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้
1. รองนายกรัฐมนตรี
- กรณีมีคนเดียว ให้รักษาราชการแทนโดยอัตโนมัติ
- กรณีมีหลายคน
ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใด
คนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
2. รัฐมนตรี
- ถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชกา รแทน
|
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวง/ทบวง
มาตรา 42
|
1. รัฐมนตรีช่วยว่าการ
- ถ้ามีรัฐมนตรีช่วยว่าการหลายคน ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการคนใดคนหนึ่งเป็นผู้
รักษาราชการแทน
2. รัฐมนตรี
- ถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชกา รแทน
|
เลขานุการรัฐมนตรี
มาตรา 43
|
1. ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี
- ถ้ามีผู้ช่วยเลขานุการฯ หลายคนให้รัฐมนตรีว่าการฯ มอบหมายให้ผู้ช่วยเลขานุการฯ คนหนึ่งคนใดเป็นผู้รักษาราชการแทน
2. ข้าราชการในกระทรวง
- ถ้าไม่มีผู้ช่วยเลขานุการฯ ให้รัฐมนตรีว่าการฯ แต่งตั้งข้าราชการในกระทรวงคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
|
ปลัดกระทรวง/ทบวง
มาตรา 44 วรรค 1
และ 45
|
1. รองปลัดกระทรวง/ทบวง
- กรณีที่มีรองปลัดกระทรวง/ทบวง
คนเดียวให้รักษาราชการแทน (โดยอัตโนมัติ)
ไม่ต้องแต่งตั้ง
- กรณีมีรองปลัดกระทวง/ทบวงหลายคน
ให้แต่งตั้งรองปลัดกระทรวง/ทบวง คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
2. อธิบดีหรือเทียบเท่า
- กรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้แต่งตั้ง
ผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดีหรือ เทียบเท่าคนใดคนหนึ่งในกระทรวงนั้นแทน (ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง ได้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น)
|
รองปลัดกระทรวง/
ทบวง
ม.44 วรรค 2
และ ม.45
|
ผู้ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่าในกระทรวง
(ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง ได้แก่
ปลัดกระทรวง)
|
ต่อเรื่องที่ 6
อธิบดี
มาตรา 46 วรรค 1
|
1. รองอธิบดี
- กรณีที่มีรองอธิบดีคนเดียว ให้รักษาราชการแทนโดยอัตโนมัติ
- กรณีมีรองอธิบดีหลายคนให้แต่งตั้งรองอธิบดีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ร
ักษา-ราชการแทน
2. หัวหน้ากองหรือเทียบเท่าขึ้นไปหรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่า
รองอธิบดี
- กรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดี
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งเทีย
บเท่ารองอธิบดีหรือข้าราชการตำแหน่งหัวหน้ากอ หรือเทียบเท่าขึ้นไป
คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
(ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง ได้แก่
ปลัดกระทรวง)
3. ผู้ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธิบดีหรือเทียบเท่า
- กรณีนายกฯ (สำหรับนายกฯ) หรือรัฐมนตรีว่าการฯ
เห็นสมควรเพ่อความเหมาะสมแก่การรับผิดชอบปฏิบัติราชการในกรมนั้ น
จะแต่งตั้งข้าราชการคนใดคนหนึ่งซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธ
ิบดีหรือเทียบเท่า
เป็นผู้รักษาราชการแทนก็ได้
|
รองอธิบดี
มาตรา 46 วรรค 2
|
ข้าราชการในกรมซึ่งตำแหน่งเทียบเท่ารองอธิบดี
หรือหัวหน้ากองหรือเทียบเท่าขึ้นไป (ผู้มีอำนาจแต่งตั้งได้แก่
อธิบดี)
|
เลขานุการกรม
ผู้อำนวยการกอง/สำนัก
มาตรา 47
|
ข้าราชการในกรมซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหัวหน้ากองหรือเทียบเท
่า
(ผู้มีอำนาจแต่งตั้งได้แก่
อธิบดี)
|
ผู้ว่าราชการจังหวัด
มาตรา 56
|
1. รองผู้ว่าราชการจังหวัด
- กรณีที่มีรองผู้ว่าฯ
คนเดียว ให้รักษาราชการแทนโดยอัตโนมัติ
- กรณีมีรองผู้ว่าฯ
หลายคนให้แต่งตั้งรองผู้ว่าฯ คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
2. ผู้ช่วยผู้ว่าราชการจังหวัด
- กรณีที่ไม่มีรองผู้ว่าฯ
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ถ้ามีผู้ช่วยผู้ว่าฯคนเดียวให้รักษาราชการแทนโดยอัตโนมัติ
- ถ้ามีผู้ช่วยผู้ว่าฯ
หลายคนให้แต่งตั้งผู้ช่วยผู้ว่าฯ คนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทน
3. ปลัดจังหวัด
- กรณีไม่มีรองผู้ว่าฯ
และผู้ช่วยผู้ว่าฯ
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้ปลัดจังหวัดรักษาราชการแทนโ ดยอัตโนมัติ
4. หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดซึ่งมีอาวุโส
- กรณีที่ไม่มีรองผู้ว่าฯ
ผู้ช่วยผู้ว่าฯ และปลัดจังหวัด หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ให้หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด ซึ่งมีอาวุโสเป็นผู้รักษาราชการแทน (กรณีที่จะต้องแต่งตั้ง
ผู้มีอำนาจแต่งตั้ง ได้แก่ ปลัดกระทรวง)
|
นายอำเภอ
มาตรา 64 วรรค 1
มาตรา 64 วรรค 2
มาตรา 64 วรรค 3
|
ปลัดอำเภอหรือหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอผู้มีอาวุโส
- กรณีไม่มี ผู้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอ ให้ผู้ว่าฯ
แต่งตั้งปลัดอำเภอ
หรือหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอผู้มีอาวุโสเป็นผู้รักษาราชการ แทน
- กรณีมี ผู้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอ แต่ไม่อาจปฏิบัติได้
ให้นายอำเภอแต่งตั้งปลัดอำเภอ
หรือหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอผู้มีอาวุโสเป็นผู้รักษาราชการ แทน
- กรณีที่ผู้ว่าฯ
หรือนายอำเภอมิได้แต่งตั้ง ผู้รักษาราชการแทนไว้ให้ปลัดอำเภอ
หรือหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอผู้มีอาวุโสเป็นผู้รักษาราชการ แทน
|
L ข้อสังเกตุ
1. สำหรับกรณีที่ถ้าคณะรัฐมนตรีต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้า
ที่ต่อไป
จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ จะเข้ารับหน้าที่เพราะ นายกรัฐมนตรีตาย ขาดคุณสมบัติ
หรือต้องพ้นจากตำแหน่งในกรณีต่าง ๆ มาตร 4 วรรค 4 ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็น
ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี
ถ้าไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี
หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ให้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้ าที่แทน
2. ถ้าตำแหน่งใดไม่มีการบัญญัติใน พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เช่น
จ่าจังหวัด ปลัดอำเภอ เสมียนจังหวัด
เป็นต้น
เมื่อไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งนั้น ๆ หรือมีแต่ไม่สามารถปฏิบัติราชการได้เป็นครั้งคราว จะต้องดำเนินการตามมาตรา 68 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. 2535 ออกคำสั่งให้ข้าราชการพลเรือนที่เห็นสมควรเป็น ผู้รักษาการในตำแหน่ง
สำหรับตำแหน่งปลัดจังหวัด
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยแล้วว่าให้ใช้วิธีการรักษ
าราชการแทน
เช่นเดียวกับในฐานะหัวหน้าส่วนราชการตามมาตรา 31 วรรคสอง (เช่นเดียวกับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนัก)
3. คำว่า "หัวหน้าส่วนราชการผู้มีอาวุโสตามระเบียบแบบแผนของทางราชการ" ในส่วนของข้าราชการพลเรือนสามัญ มิได้มีระเบียบกำหนดไว้ชัดเจน แต่สำนักงาน
ก.พ. ได้เคยพิจารณาจัดลำดับอาวุโสในส่วนราชการไว้ดังนี้
3.1 ผู้ดำรงตำแหน่งในระดับสูงกว่า ถือว่าผู้นั้นอาวุโสกว่า
3.2 หากระดับเดียวกัน ผู้ใด
ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับนั้นก่อน ถือว่าอาวุโสกว่า
3.3 หากได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งระดับเดียวกันพร้อมกัน ผู้ที่เงินเดือนมากกว่าถือว่าอาวุโสกว่า
3.4 หากได้รับเงินเดือนเท่า ผู้ที่อายุราชการมากกว่า อาวุโสกว่า
3.6 หากได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นเดียวกัน ผู้ที่ได้รับเครื่องราชฯ ชั้นนั้นก่อนมีอาวุโสกว่า
3.7 หากได้รับเครื่องราชฯ ชั้นเดียวกัน
พร้อมกัน
ผู้ใดมีอายุแก่กว่ากัน
ผู้นั้นอาวุโสกว่า
M หลักเกณฑ์การปฏิบัติราชการแทน
การปฏิบัติราชการแทน ตามมาตรา 38
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 เป็นการมอบอำนาจในการสั่ง การอนุญาต
การอนุมัติ การปฏิบัติราชการ หรือการดำเนินการอื่นที่ผู้ดำรงตำแหน่งจะพึงปฏิบัติหรือดำเนินก
ารตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
คำสั่ง
หรือมติคณะรัฐมนตรีให้ผู้อื่นดำเนินการแทนโดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
1. กรณีที่จะมอบอำนาจตามกฎหมายนี้ได้ จะต้องเป็นกรณีที่กฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ หรือคำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้น
มิได้กำหนดเรื่องการมอบอำนาจไว้เป็นอย่างอื่น หรือ
มิได้ห้ามเรื่องการมอบอำนาจไว้
2. ผู้ที่จะมอบอำนาจได้ ต้องเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งตามที่ระบุในมาตรา 38
3. การมอบอำนาจเป็นดุลยพินิจของผู้ดำรงตำแหน่งนั้น ที่จะมอบให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นหรือไม่ก็ได้
4. วัตถุประสงค์ในการมอบอำนาจ ผู้มอบอำนาจจะต้องพิจารณา ถึงการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ความรวดเร็วในการปฏิบัติราชการ
การกระจายความรับผิดชอบตามสภาพของตำแหน่งของผู้รับมอบอำนาจ
5. ผู้ที่จะรับมอบอำนาจได้ ต้องเป็นผู้ที่ดำรงตำแหน่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา
38 เท่านั้น
6. หลักฐานการมอบอำนาจ ในการมอบอำนาจดังกล่าวข้างต้น ให้ทำเป็นหนังสือ
7. ผลการมอบอำนาจ
เมื่อมีการมอบอำนาจแล้วผู้รับมอบอำนาจมีหน้าที่ต้องรับมอบอำนาจ นั้น
และต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบอำนาจตามวัตถุประสงค์ของการม
อบอำนาจดังกล่าว
8. ผู้รับมอบอำนาจจะมอบอำนาจนั้นให้ผู้อื่นต่อไปไม่ได้
ยกเว้นกรณีการมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดจะมอบอำนาจนั้นต่อไปก็ได้ หากมอบให้แก่รองผู้ว่าฯ หรือผู้ช่วยผู้ว่าฯ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แจ้งให้ผู้มอบอำนาจชั้นต้นทราบ
หากจะมอบให้แก่บุคคลอื่นจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจา
กผู้มอบอำนาจชั้นต้นแล้ว
9. การควบคุมการใช้อำนาจที่ได้รับมอบ
ผู้มอบอำนาจมีหน้าที่กำกับติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอ
บอำนาจและให้มีอำนาจแนะนำ
และแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจได้
นอกจากนี้ในมาตรา 38
วรรคสี่ กำหนดว่า
คณะรัฐมนตรีอาจกำหนดให้มีการมอบอำนาจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตลอดจนการมอบอำนาจให้ทำนิติกรรม ฟ้องคดี
และดำเนินคดีแทนกระทรวง ทบวง กรม
หรือกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขในการมอบอำนาจให้ผู้มอบอำนาจ หรือผู้รับมอบอำนาจต้องปฏิบัติก็ได้
ในปัจจุบันคณะรัฐมนตรี ได้ออก
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2546 กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในการมอบอำนาจในการปฏิบัติราชการ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 38 (13) มาตรา 38 วรรคสี่ มาตรา 50/2
และมาตรา 50/5 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5)
พ.ศ. 2545 ดังต่อไปนี้โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2546 เป็นต้นไป
โดยในระเบียบดังกล่าวได้กำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การมอบอำนาจ เพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในตัวกฎหมาย ดังนี้
O หลักเกณฑ์การมอบอำนาจ
1. การมอบอำนาจให้คำนึงถึง
(1) ขีดความสามารถและความรับผิดชอบของ ผู้รับมอบอำนาจ รวมตลอดทั้งการอำนวยความสะดวก และการตอบสนองความต้องการของประชาชน
(2) ความรวดเร็ว และการลดขั้นตอนในการปฏิบัติราชการ
(3) ประสิทธิภาพ และความประหยัด
(4) การสร้างความมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่
2. การมอบอำนาจตามระเบียบนี้ต้องไม่เป็นการเพิ่มขั้นตอนหรือระยะเว
ลาในการใช้อำนาจ
3. ผู้มอบอำนาจมอบอำนาจให้แก่ผู้ดำรงตำแหน่งที่มีหน้าที่รับผิดชอบ
ดำเนินการเรื่องนั้นโดยตรง
และในกรณีที่เป็นการใช้อำนาจในเขตจังหวัดใด นอกจากกรุงเทพมหานคร
ให้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดของจังหวัดนั้น
4. ในการมอบอำนาจ ให้ผู้มอบอำนาจดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) วางหลักเกณฑ์การใช้อำนาจของผู้รับมอบอำนาจ
(2) จัดให้มีระบบการติดตามและประเมินผลการใช้อำนาจของผู้รับมอบอำนา
จ
(3) กำกับดูแลและแนะนำการใช้อำนาจของผู้รับมอบอำนาจ
(4) จัดทำบัญชีการมอบอำนาจเสนอผู้บังคับบัญชา และ ก.พ.ร. และเปิดเผยให้ประชาชนทราบ
5. การมอบอำนาจให้ทำเป็นหนังสือโดย ระบุให้ชัดเจนเกี่ยวกับผู้รับมอบอำนาจ อำนาจที่มอบ
หลักเกณฑ์ในการใช้อำนาจของผู้รับมอบอำนาจ และการรายงานผลการใช้อำนาจ
ในการใช้อำนาจที่รับมอบให้ผู้รับมอบอำนาจบันทึกการใช้อำนาจตามห
ลักเกณฑ์ที่ผู้มอบอำนาจกำหนด
6. ให้ส่วนราชการกำหนดวิธีปฏิบัติราชการในเรื่องต่าง
ๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว
โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ มากเกินความจำเป็น ทั้งนี้
โดยคำนึงถึงความรู้ความสามารถ
และความรับผิดชอบที่มีต่อเรื่องนั้น ๆ และผู้มีส่วนร่วมพิจารณาในเรื่องใด
ต้องร่วมรับผิดชอบในผลที่เกิดขึ้นจากเรื่องนั้นด้วย
7. ในกรณีที่ ก.พ.ร. เห็นว่าการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งใดมิได้เป็นไปตามระเบียบนี
้ ให้
ก.พ.ร. แนะนำให้ผู้ดำรงตำแหน่งนั้น ดำเนินการปรับปรุงตามที่เห็นสมควร
8. ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบนี้ ให้ ก.พ.ร. เป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัย
คำวินิจฉัยของ ก.พ.ร. ให้เป็นที่สุด
9. ในกรณีที่ไม่สมควรหรือไม่อาจใช้บังคับระเบียบนี้กับการมอบอำนาจ
ในเรื่องใด หรือหน่วยงานใด ก.พ.ร. จะเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติให้ยกเว้น
การใช้บังคับระเบียบนี้กับเรื่องหรือหน่วยงานนั้น ทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้
การมอบอำนาจของตำแหน่งต่าง ๆ
1. บรรดาอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งที่อาจมอบได้ตามมาตรา
38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นั้น
ให้ผู้มีอำนาจซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมขึ้นไป มอบอำนาจให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ทั้งหมด เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้จะไม่มอบอำนาจก็ได้
(1) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายสำคัญ
(2) เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เป
็นมาตรฐานเดียวกัน
(3) เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจเห็นว่าอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน หรือเกิดความไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนได้
2. ในกระทรวงที่มีการแบ่งกลุ่มภารกิจซึ่ง หัวหน้ากลุ่มภารกิจ มีอำนาจเช่นเดียวกับปลัดกระทรวง
ให้หัวหน้ากลุ่มภารกิจดำเนินการมอบอำนาจตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว
้ในระเบียบนี้
โดยให้ถือเสมือนหนึ่งเป็นปลัดกระทรวงของส่วนราชการในกลุ่มภารกิ จนั้น
3. ให้อธิบดีดำเนินการวางระเบียบการมอบอำนาจตามมาตรา 38 (8)
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามระเบียบนี้
4. การมอบอำนาจให้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัด
เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับมอบอำนาจจากส่วนราชการ
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบอำนาจให้หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหว
ัดที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบ
5. ให้นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ
และหัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดดำเนินการ มอบอำนาจให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดในระเบียบ
6. การใช้อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้รับมอบอำนาจจากผู้ว่าราชการจังหวัด และของผู้ดำรงตำแหน่งใดในจังหวัด ต้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของจังหวัด
ในกรณีที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้มีการแบ่งกลุ่มจังหวัดเพื่อประโยช
น์ในการปฏิบัติภารกิจใดให้สอดคล้องกัน
การมอบอำนาจจากผู้ดำรงตำแหน่งในราชการส่วนกลางไปยังผู้ว่าราชกา
รจังหวัด
และการมอบอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดตามข้อ 4 และการใช้อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้รับมอบอำนาจ
ภายในกลุ่มจังหวัดเดียวกันต้องสอดคล้องกับแนวทางที่ประชุมร่วมร
ะหว่างรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกลุ่มจังหวัดดังกล่าว
และผู้ว่าราชการจังหวัดในกลุ่มเดียวกันนั้นได้กำหนดไว้
7. การมอบอำนาจให้ปฏิบัติราชการแทนในต่างประเทศ
ส่วนราชการใดมีภารกิจที่ต้องดำเนินการในต่างประเทศ
ให้หัวหน้าส่วนราชการนั้นมอบอำนาจทั้งปวงที่จะต้องดำเนินการในต
่างประเทศนั้นให้แก่หัวหน้าคณะผู้แทน
และให้หัวหน้าคณะผู้แทนมอบอำนาจให้รองหัวหน้าคณะผู้แทนหรือบุคค
ลในคณะผู้แทน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบ
การมอบอำนาจในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รัฐวิสาหกิจและองค์กรมหาชน
1. การมอบอำนาจในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกในการบริการประชาชน
ให้ส่วนราชการซึ่งกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการใ
ห้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นวางระเบียบการมอบอำนาจให้เหมาะสมกับ
ภารกิจการบริการประชาชน ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงความสะดวก รวดเร็ว ประสิทธิภาพ และประหยัดในการบริการประชาชน ตามแนวทางตามระเบียบนี้
2. การมอบอำนาจในรัฐวิสาหกิจและองค์การมหาชน
เพื่อประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกในการบริการประชาชน
คณะรัฐมนตรีจะมีมติให้คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจ และขององค์การมหาชน ดำเนินการให้มีระเบียบว่าด้วยการมอบอำนาจให้สอดคล้องกับแนวทางต
ามระเบียบนี้
โดยจะกำหนดให้ระเบียบดังกล่าว
อย่างน้อยต้องกำหนดให้การใช้อำนาจของผู้รับมอบอำนาจในเขตจังหวั ดใด
ต้องสอดคล้องกับนโยบายและแผนการปฏิบัติการของจังหวัดนั้นด้วยก็ ได้
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการรักษาราชการแทน และปฏิบัติราชการแทน
1. ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งใด หรือผู้รักษาราชการแทนผู้ดำรงตำแหน่งนั้น มอบหมายหรือมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทน
ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกันกับผู้ซึ่งมอ บอำนาจ
2. ในกรณีที่กฎหมายฉบับอื่น แต่งตั้งให้ผู้ดำรงตำแหน่งใดเป็นกรรมการ หรือให้มีอำนาจหน้าที่อย่างใด ให้ผู้รักษาราชการแทนหรือผู้ปฏิบัติราชการแทนทำหน้าที่กรรมการ
หรือมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งนั้นในระหว่างที่
รักษาราชการแทนหรือปฏิบัติราชการแทนด้วย
ตำแหน่งที่อาจมอบอำนาจได้ตามที่ระบุไว้ในมาตรา
38
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
ตำแหน่งผู้มอบ
|
ผู้รับมอบอำนาจ
|
นายกรัฐมนตรี
|
- รองนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
|
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
|
- รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ปลัดกระทรวง
อธิบดี หรือหัวหน้าส่วนราชการซึ่งดำรงตำแหน่งเทียบเท่า
ผู้ว่าราชการจังหวัด
|
ปลัดสำนักนายกฯ
|
รองปลัดสำนักนายกฯ
ผู้ช่วยปลัดสำนักนายก อธิบดีหรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด
|
ปลัดกระทรวง/ทบวง
|
- รองปลัดกระทรวง/ทบวง ผู้ช่วยปลัดกระทรวง/ทบวง อธิบดี
หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า ผู้ว่าราชการจังหวัด
|
อธิบดี หรือ
ผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า
|
- รองอธิบดี
ผู้ช่วยอธิบดี ผู้อำนวยการกอง หัวหน้ากอง หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า
ผู้ว่าราชการจังหวัด
|
ผู้อำนวยการกอง
หัวหน้ากอง
หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่า
|
ข้าราชการในกอง
ตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด
|
ผู้ว่าราชการจังหวัด
|
- รองผู้ว่าฯ
ผู้ช่วยผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด นายอำเภอ
ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอ
|
นายอำเภอ
|
ปลัดอำเภอ
หัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอ
|
ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้า
ประจำกิ่งอำเภอ
|
ปลัดอำเภอ
หัวหน้าส่วนราชการประจำกิ่งอำเภอ
|
หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัด
|
หัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอ
หัวหน้าส่วนราชการประจำกิ่งอำเภอ
|
ผู้ดำรงตำแหน่งอื่น
|
อาจมอบอำนาจให้บุคคลอื่นได้ตามระเบียบที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
|